สัญญาณเตือน! ร่างกายกำลังบอกว่าคุณอาจได้รับโลหะหนักมากเกินไป

สัญญาณเตือน! ร่างกายกำลังบอกว่าคุณอาจได้รับโลหะหนักมากเกินไป

ในยุคปัจจุบันที่มีมลพิษและสารเคมีอันตรายอยู่รอบตัวเรา "โลหะหนัก" กลายเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่อาจแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว การสะสมของโลหะในร่างกายมักไม่ได้แสดงอาการทันที แต่ค่อย ๆ สะสมในอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ไต สมอง หรือแม้แต่กระดูก จนส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติในระยะยาว วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า “โลหะหนัก” คืออะไร เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร และอาการเตือนที่ควรสังเกต พร้อมแนะนำแนวทางป้องกันและการตรวจคัดกรองอย่างแม่นยำเพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนยากต่อการแก้ไข เพื่อให้ทุกคนสามารถป้องกันและฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงได้อย่างยั่งยืน

โลหะหนักคืออะไร?

โลหะหนัก (Heavy Metals) คือ ธาตุโลหะที่มีมวลอะตอมสูง และมีความหนาแน่นสูงกว่าน้ำมากกว่า 5 เท่า  ซึ่งสามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตได้ โดยเฉพาะในร่างกายมนุษย์ แม้บางชนิดจะจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย เช่น สังกะสี (Zinc), เหล็ก (Iron), ทองแดง (Copper) แต่เมื่อได้รับในปริมาณมากเกินไป หรือได้รับสารโลหะหนักที่เป็นพิษ เช่น ตะกั่ว (Lead), ปรอท (Mercury), แคดเมียม (Cadmium) และสารหนู (Arsenic) ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างรุนแรง เนื่องจากโลหะหนักเหล่านี้ไม่สามารถย่อยสลายหรือถูกขับออกจากร่างกายได้โดยง่าย จึงมีแนวโน้มที่จะสะสมในเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ และกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพเรื้อรังในระยะยาว

traffic polution

โลหะหนักเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

โลหะหนักสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลายทางโดยไม่ทันรู้ตัว เส้นทางหลัก ๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • การหายใจ

ฝุ่นละอองหรือควันพิษที่ปนเปื้อนโลหะหนัก เช่น จากโรงงานอุตสาหกรรม ควันจากการจราจร หรือแม้แต่ควันบุหรี่ สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจ และแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง

  • การรับประทานอาหารและน้ำดื่ม

อาหารที่ปลูกในดินหรือรดด้วยน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนัก เช่น ผัก ผลไม้ หรืออาหารทะเลบางชนิด อาจมีโลหะหนักสะสมอยู่ โดยเฉพาะสารปรอทในปลาทะเล น้ำดื่มที่ไม่ได้ผ่านการกรองอย่างเหมาะสมก็อาจเป็นแหล่งสะสมโลหะหนักได้เช่นกัน

  • การสัมผัสทางผิวหนัง

แม้จะพบได้น้อยกว่าทางอื่น แต่การสัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือสารเคมีที่มีโลหะหนัก เช่น สีทาบ้านเก่า เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน หรืออุปกรณ์บางชนิด ก็อาจส่งผลให้โลหะหนักซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน

เครื่องใช้บางชนิด เช่น ภาชนะที่เคลือบด้วยสีที่มีสารตะกั่ว เครื่องสำอางราคาถูก หรือแม้แต่ของเล่นเด็กที่ไม่ได้รับมาตรฐาน อาจเป็นแหล่งที่มาของโลหะหนักที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย

สัญญาณเตือนสำคัญที่ร่างกายกำลังฟ้องว่าได้รับโลหะหนักมากเกินไป

สัญญาณเตือนสำคัญที่ร่างกายกำลังฟ้องว่าได้รับโลหะหนักมากเกินไป

หนึ่งในความน่ากลัวของโลหะหนักคือการสะสมในร่างกายโดยที่ไม่แสดงอาการในทันที การได้รับโลหะหนักในปริมาณเล็กน้อยจากสิ่งแวดล้อมอาจไม่เป็นอันตรายในระยะสั้น ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีโลหะหนักสะสมอยู่ จนกระทั่งอาการต่าง ๆ เริ่มแสดงออกในระยะยาว การสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเฝ้าระวังสุขภาพ

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง สมองล้า หรือมีภาวะขาดสมาธิ

แม้จะพักผ่อนเพียงพอ แต่ยังรู้สึกอ่อนแรง ไม่สดชื่น ไม่มีแรงจูงใจในการทำกิจกรรมประจำวัน และมีปัญหาในการจดจำหรือคิดวิเคราะห์ เป็นสัญญาณเตือนของการสะสมของโลหะหนักบางชนิด เช่น ปรอท ตะกั่ว หรือแคดเมียม ซึ่งเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางหรือขัดขวางกระบวนการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ส่งผลให้เกิดภาวะสมองล้า (Brain fog)

  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ป่วยบ่อยกว่าปกติ

เมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลง ร่างกายจะไวต่อเชื้อโรคมากขึ้น เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือระบบทางเดินอาหารบ่อยครั้ง โลหะหนักบางชนิดมีผลต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวและกระบวนการต้านการอักเสบภายในร่างกาย เช่น ตะกั่วที่ส่งผลต่อสมองโดยตรง โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ หรือปรอทที่มีผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการสับสนและเวียนศีรษะ

  • มีอาการแพ้ ผื่นคัน หรือผิวหนังเปลี่ยนแปลง

ผิวหนังอาจเกิดอาการระคายเคือง ผื่นแพ้ หรือเปลี่ยนสีโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด รวมถึงมีสิวเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ โลหะบางชนิด เช่น นิกเกิลและโครเมียม เป็นสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการแพ้แบบสัมผัส หรือทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของผิวหนังในระยะยาว รวมถึงการได้รับสารปรอทจากเครื่องสำอางบางชนิด ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง

  • ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ

อาการท้องอืด ท้องเสีย แน่นท้อง ถ่ายไม่สุด หรือปวดท้องบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเกิดจากผลกระทบของโลหะหนักบางชนิดที่รบกวนเยื่อบุลำไส้ เช่น สารหนูหรือแคดเมียม ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหารและสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ รวมถึงตะกั่วที่ทำให้ลำไส้ทำงานช้าลงจนเกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง

  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือมีภาวะซึมเศร้า

โลหะหนักที่สะสมในสมองอาจมีผลต่อสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ซึ่งควบคุมอารมณ์และความรู้สึก ส่งผลให้มีอาการวิตกกังวล อารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดง่าย หรือเกิดภาวะซึมเศร้าโดยไม่มีปัจจัยด้านจิตสังคมที่ชัดเจน สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าร่างกายได้รับปรอท ตะกั่ว หรืออะลูมิเนียมมากเกินไป ซึ่งโลหหะหนักเหล่านี้มักมีผลโดยตรงต่อสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนในสมอง และรบกวนระบบการควบคุมอารมณ์

  • ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า

อาการปวดศีรษะที่เกิดซ้ำ ๆ หรืออาการชาและเสียวซ่าตามปลายประสาท อาจเกี่ยวข้องกับการสะสมของโลหะหนักที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนปลาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะปลายประสาทอักเสบหรือความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต ในบางรายอาจรู้สึกปวดเมื่อยโดยไม่รู้สาเหตุ มักเกิดในตอนเช้า หรือหลังพักผ่อน นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของการสะสมโลหะหนักในกล้ามเนื้อและข้อต่อ เช่น ปรอท อะลูมิเนียม หรือแคดเมียม ซึ่งเป็นกลุ่มโลหะหนักที่มีผลต่อการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ

 

วิธีตรวจโลหะหนัก รู้ก่อน ป้องกันได้

การปรากฏของอาการเหล่านี้โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน หรือมีหลายอาการร่วมกัน ควรได้รับการประเมินเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมเคมี ผู้ที่บริโภคอาหารทะเลเป็นประจำ หรือผู้ที่อาศัยในพื้นที่ที่มีมลภาวะสูง การตรวจวิเคราะห์ระดับโลหะหนักในร่างกายจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังสุขภาพ และสามารถนำไปสู่การดูแลป้องกันก่อนเกิดผลกระทบรุนแรงในระยะยาว ซึ่งการตรวจหาโลหะหนักในร่างกายที่ได้รับความนิยมและมีความน่าเชื่อถือสามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่

  • ตรวจเลือด (Heavy Metal Blood Test)

เหมาะสำหรับการวัดการได้รับโลหะในช่วงเวลาปัจจุบัน เช่น ตรวจปรอทจากปลาทะเล ตรวจตะกั่วจากการสัมผัสฝุ่น โดยแพทย์จะเจาะเลือดเพื่อนำตัวอย่างไปวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด เช่น ตะกั่ว (Pb), ปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), สารหนู ฯลฯ เหมาะสำหรับการตรวจภาวะ “สัมผัสโลหะหนักแบบเฉียบพลัน” เช่น จากการสูดดมสารพิษ การกลืนกินโดยไม่ตั้งใจ หรืออุบัติเหตุจากสารเคมี ถือเป็นวิธีที่ได้มาตรฐาน และสามารถใช้เป็นหลักฐานทางการแพทย์หรือกฎหมาย แต่จะไม่สามารถตรวจจับโลหะที่สะสมในร่างกายระยะยาวได้ทั้งหมด เพราะโลหะบางชนิดจะไม่ไหลเวียนในเลือดตลอดเวลา แต่จะถูกสะสมในอวัยวะ เช่น สมอง ตับ หรือไขกระดูก ดังนั้น หากผู้ป่วยสัมผัสโลหะหนักมานานแล้ว ระดับโลหะหนักในเลือดอาจอยู่ในระดับต่ำ แม้จะมีการสะสมในเนื้อเยื่อสูง เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ที่ทำงานในโรงงาน หรือสัมผัสโลหะหนักบ่อย ๆ ผู้ที่มีประวัติเพิ่งได้รับสารพิษ (ช่วงไม่เกิน 1-2 สัปดาห์) หรือผู้ที่ต้องการผลตรวจที่แพทย์ใช้ประกอบการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ

  • ตรวจปัสสาวะ (Heavy Metal Urine Test)

ใช้วัดการขับออกของโลหะผ่านทางไต ช่วยประเมินระดับสะสมโดยเฉพาะเมื่อต้องการติดตามผลหลังทำ Detox หรือ Chelation โดยการเก็บปัสสาวะเพื่อนำไปวิเคราะห์โลหะหนักที่ร่างกายกำลังขับออก
ในบางกรณี แพทย์จะให้รับประทาน “สารจับโลหะ” (Chelating agent เช่น DMSA หรือ EDTA) เพื่อดึงโลหะออกจากเนื้อเยื่อ แล้วตรวจจากปัสสาวะที่เก็บในช่วง 6–24 ชั่วโมงหลังรับยา วิธีนี้ทำให้แพทย์สามารถตรวจพบโลหะหนักที่สะสมอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อนำไปกระตุ้นด้วยสารจับโลหะ เหมาะสำหรับการประเมินภาวะพิษเรื้อรังจากการสะสมโลหะในระยะยาว สามารถใช้ติดตามผลการขับพิษหรือโปรแกรมดีท็อกซ์โลหะได้ แต่ต้องทำภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นในกรณีที่มีการใช้สารกระตุ้น เพราะอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว อ่อนแรง และไม่เหมาะสำหรับประเมินภาวะสัมผัสเฉียบพลัน ดังนั้น วิธีการตรวจปัสสาวะจึงเหมาะกับกลุ่มผู้ที่มีอาการผิดปกติเรื้อรัง เช่น ปวดศีรษะ ขี้ลืม ซึมเศร้า ภูมิคุ้มกันต่ำ โดยไม่พบสาเหตุทางการแพทย์ชัดเจน และผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีการสะสมโลหะหนักจากสิ่งแวดล้อม เช่น อยู่ในเขตอุตสาหกรรม ใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือบริโภคอาหารที่อาจปนเปื้อนโลหะ

consult to doctor

 

ประโยชน์ของการตรวจโลหะหนัก

โลหะหนักเป็นสารที่สามารถสะสมในร่างกายได้โดยไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น แต่หากมีการสะสมต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในร่างกายจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยง วางแผนป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างตรงจุด โดยมีประโยชน์สำคัญดังต่อไปนี้

  • ช่วยวินิจฉัยและระบุสาเหตุของอาการผิดปกติที่หาสาเหตุไม่ได้

ผู้ที่มีอาการเรื้อรัง เช่น เหนื่อยล้าเรื้อรัง สมาธิสั้น เวียนศีรษะ ความจำถดถอย หรือมีอาการทางอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า อาจมีสาเหตุจากการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย การตรวจวิเคราะห์จะช่วยให้แพทย์สามารถระบุความเป็นไปได้ของภาวะพิษจากโลหะ และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่การตรวจวินิจฉัยทั่วไปไม่พบความผิดปกติ

  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท หรือแคดเมียม สามารถทำลายระบบประสาท ระบบไต ระบบสืบพันธุ์ และระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ หากสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน การตรวจคัดกรองในระยะเริ่มต้นจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรคร้ายแรง เช่น โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ หรือแม้แต่มะเร็งบางชนิด โดยช่วยให้สามารถดำเนินมาตรการลดการสัมผัสและกำจัดสารพิษได้ก่อนที่อาการจะรุนแรง

  • ช่วยตรวจหาความเสี่ยงของกลุ่มเปราะบาง

กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ มีความไวต่อโลหะหนักสูงเป็นพิเศษ การสะสมของสารพิษเหล่านี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองของทารกและเด็ก เช่น ทำให้เกิดภาวะพัฒนาการช้า สมาธิสั้น หรือความผิดปกติทางระบบประสาท สำหรับหญิงตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด หรือความผิดปกติของทารกแรกเกิด นอกจากนี้ ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม สถานที่ก่อสร้าง หรือพื้นที่ที่มีสารเคมีเจือปน ก็ควรเข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ

  • ช่วยสนับสนุนแนวทางการรักษาและบำบัดสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อผลตรวจแสดงว่ามีโลหะหนักสะสมในร่างกาย แพทย์สามารถพิจารณาวิธีการรักษาเฉพาะบุคคล เช่น การใช้สารจับโลหะ (Chelation Therapy) การปรับพฤติกรรมการบริโภค หรือแนะนำโปรแกรมล้างพิษ การมีข้อมูลประกอบจากผลตรวจจะช่วยให้การบำบัดเกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด และยังสามารถใช้เพื่อติดตามความคืบหน้าของการรักษาในระยะต่อเนื่องได้อีกด้วย

  • เป็นเครื่องมือสำหรับการประเมินความเสี่ยงและป้องกันเชิงรุก

ในบางกรณีที่อาจยังไม่มีอาการใด ๆ แต่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโลหะหนักจากสิ่งแวดล้อม เช่น อาศัยอยู่ใกล้แหล่งมลพิษ ใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน การตรวจวิเคราะห์สามารถช่วยประเมินระดับสารพิษและความเสี่ยงในระยะเริ่มต้น เพื่อให้สามารถดำเนินการป้องกันได้ทันเวลา เช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลีกเลี่ยงแหล่งปนเปื้อน หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่

 

แนวทางป้องกันการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย

การสะสมของโลหะหนักในร่างกายสามารถส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและรุนแรงหากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีสามารถช่วยลดผลกระทบทางสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ

  • หลีกเลี่ยงแหล่งปนเปื้อนของโลหะหนัก

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแหล่งที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง น้ำที่ไม่ผ่านการกรอง เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่มีการรับรองความปลอดภัย และภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากโลหะที่ไม่ได้มาตรฐาน

  • เลือกบริโภคอาหารที่ปลอดภัย

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแนวโน้มปนเปื้อนโลหะหนัก เช่น ปลาทะเลขนาดใหญ่อย่างปลาทูน่า ปลาดาบที่อาจมีสารปรอทสูง ผักผลไม้ที่ไม่ได้ล้างสะอาด หรือที่ใช้ยาฆ่าแมลงจำนวนมาก ควรเลือกอาหารจากแหล่งที่มีการควบคุมและรับรองด้านความปลอดภัยทางอาหาร

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและของใช้ที่มีความปลอดภัย

ตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ให้แน่ชัดว่าปราศจากโลหะหนักหรือสารต้องห้าม โดยเฉพาะเครื่องสำอาง ยาสีฟัน สีทาเล็บ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ที่อาจมีส่วนผสมของสารตะกั่ว ปรอท หรือสารหนู

  • สวมอุปกรณ์ป้องกันเมื่อทำงานในสิ่งแวดล้อมที่มีความเสี่ยง

ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม งานโลหะ ช่างเชื่อม หรืองานเกี่ยวกับสารเคมี ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากกันฝุ่น ถุงมือ และชุดป้องกัน รวมถึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและคัดกรองโลหะหนักเป็นระยะ

 

การตรวจโลหะหนัก = ก้าวแรกสู่การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

ในยุคที่ผู้คนต้องเผชิญกับมลพิษ สารเคมี และภาวะเครียดจากสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในร่างกายไม่ใช่เพียงการวินิจฉัยหาความผิดปกติเท่านั้น แต่ยังเป็น “ก้าวแรก” ในการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมภายในของตนเอง และใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

Medical Line Lab ศูนย์บริการตรวจวิเคราะห์สารพิษและโลหะหนักในร่างกายระดับแนวหน้า ให้บริการตรวจด้วยมาตรฐานห้องปฏิบัติการที่แม่นยำ และอุปกรณ์ทันสมัย โดยสามารถตรวจผ่าน ตัวอย่างเลือดหรือปัสสาวะ พร้อมให้คำปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเชิงป้องกัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ เช่น เหนื่อยล้า ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ภูมิแพ้เรื้อรัง ผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อสารเคมีหรือโลหะหนัก รวมถึงเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่ใส่ใจในการดูแลสุขภาพองค์รวม

 

สอบถามหรือจองคิวตรวจหาโลหะหนักในร่างกายกับ Medical Line Lab ได้ที่ช่องทางดังนี้

เบอร์โทรศัพท์: 02-374-9604

Line: https://page.line.me/259wtcig?openQrModal=true

Contact us: https://www.medicallinelab.co.th/ติดต่อสอบถาม/

Website: https://www.medicallinelab.co.th/

Facebook: https://www.facebook.com/MLLmedicallinelab

Email: info@medicallinelab.co.th

Scroll to Top