รู้จักไวรัสตับอักเสบบี (HEPATITIS B) และรูปแบบระยะที่ส่งผลต่อสุขภาพ เพื่อการรักษาที่เหมาะสม

รู้จักไวรัสตับอักเสบบี (HEPATITIS B) และรูปแบบระยะที่ส่งผลต่อสุขภาพ เพื่อการรักษาที่เหมาะสม

ไวรัสตับอักเสบบี (HEPATITIS B) คืออะไร

ไวรัสตับอักเสบ บี หรือ Hepatitis B (HBV) คือเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งตับเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดสารพิษ สร้างโปรตีน และเก็บพลังงานของร่างกาย หากติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ร่างกายอาจเกิดการอักเสบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ที่แตกต่างด้านอาการ การรักษา และผลกระทบในระยะยาว

ชนิดของไวรัสตับอักเสบบี

  1. การติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute)

    การติดเชื้อเฉียบพลันหมายถึง ภาวะที่ร่างกายเพิ่งได้รับเชื้อและเชื้อคงอยู่ไม่เกิน 6 เดือน ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน ขณะที่บางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะสีเข้ม หรือภาวะตาตัวเหลือง อย่างไรก็ตาม ในผู้ใหญ่ส่วนมาก ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดเชื้อได้เอง จนหายเป็นปกติและมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อตลอดไป

  2. การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic)

    หากเชื้อคงอยู่ในร่างกายเกินกว่า 6 เดือน จะถือว่าเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ที่ติดเชื้อตั้งแต่วัยเด็กหรือทารก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สามารถกำจัดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ติดเชื้อเรื้อรังส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่เชื้อจะค่อย ๆ ทำลายเซลล์ตับ ส่งผลให้เกิดพังผืดและเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว จึงจำเป็นต้องได้รับการติดตามสุขภาพตับอย่างต่อเนื่องและบางรายอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อไวรัสอักเสบตับอักเสบ

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B  (Hepatitis B) เกิดจากการรับเชื้อผ่านเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ซึ่งเชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายช่องทาง คือ

1.การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมกัน

การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ที่สัมผัสเลือดร่วมกับผู้อื่น ถือเป็นช่องทางการแพร่เชื้อที่พบบ่อย เนื่องจากไวรัสตับอักเสบ B สามารถคงอยู่ในเลือดแม้เพียงปริมาณเล็กน้อย และมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมสูง จึงมีโอกาสติดต่อได้ง่ายผ่านอุปกรณ์ที่ไม่ได้ถูกฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี  เช่น เข็ม ซึ่งพบได้ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด การสักหรือเจาะร่างกาย รวมถึงการทำหัตถการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่ขาดมาตรฐานด้านความปลอดภัย

2.การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ไวรัสสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสมีอยู่ในน้ำอสุจิและสารคัดหลั่งของช่องคลอด โดยเฉพาะหากมีแผลถลอกหรือการระคายเคืองที่เยื่อบุ ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคนหรือมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้การป้องกันอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก

3.การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

สาเหตุนี้พบได้บ่อยในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา โดยการติดเชื้อมักเกิดขึ้นในช่วงการคลอด เนื่องจากทารกสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากมารดาโดยตรง หากไม่ได้รับการป้องกันทันทีหลัง คลอด ในทารกมีโอกาสติดเชื้อสูงและส่วนใหญ่จะพัฒนาไปเป็นการติดเชื้อเรื้อรังตั้งแต่วัยเด็ก

4.การสัมผัสเลือดโดยตรง

การสัมผัสเลือดที่มีเชื้อเข้าสู่บาดแผลหรือเยื่อบุ เช่น ตา ปาก หรือจมูก ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ต้องระวัง ตัวอย่างที่พบได้ ได้แก่ อุบัติเหตุเข็มตำในบุคลากรทางการแพทย์ การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยไม่สวมถุงมือ หรือแม้แต่การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกนและแปรงสีฟันที่ปนเปื้อนเลือด ซึ่งเชื้อไวรัสในเลือดปริมาณเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

HEPATITIS B

ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B

1.ตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic Hepatitis B)

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรังประมาณ 15 – 40% มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับตลอดช่วงชีวิต เนื่องจากการติดเชื้อเรื้อรังทำให้เกิดการอักเสบของตับอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการสะสมของพังผืด (fibrosis) ที่สามารถพัฒนาไปสู่ภาวะตับแข็งในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

2.มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma: HCC)

การติดเชื้อ HBV เรื้อรังถือเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของมะเร็งตับ โดย WHO Hepatitis, 2025 มีข้อมูลว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบสามารถกระตุ้นการเกิดมะเร็งตับได้ เนื่องจากไวรัสสามารถแทรกตัวเข้าไปในจีโนมของเซลล์ตับ (HBV‐ Induced Carcinogenesis) ทำให้ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็งตับทั่วโลกเกิดจาก HBV

3.ภาวะตับวาย (Liver Failure)

ตับวาย คือ ภาวะที่ตับสูญเสียความสามารถในการทำหน้าที่หลักของร่างกาย เช่น การกำจัดสารพิษ การสร้างโปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด และการรักษาสมดุลสารอาหาร เมื่อเซลล์ตับถูกทำลายอย่างมาก ไม่ว่าจะจากการอักเสบเฉียบพลันหรือการทำลายเรื้อรัง ก็อาจพัฒนาไปสู่ตับวายได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะสำคัญ ดังนี้

       3.1 ตับวายเฉียบพลัน (Acute Liver Failure: ALF)

เป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี แม้จะพบไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงสูงและอัตราการเสียชีวิตสูงมากหากไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับ โดยงานวิจัยSchiodt et al., Hepatology, 2003 พบว่าผู้ป่วย ALF จากไวรัสตับอักเสบ บี มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า 70% หากไม่ได้ปลูกถ่ายตับ ซึ่งมีลักษณะ

  • ดีซ่านรุนแรง (ตาเหลือง ตัวเหลือง)
  • ภาวะสมองเสื่อมจากตับ (hepatic encephalopathy) เช่น สับสน พูดไม่รู้เรื่อง หรือหมดสติ
  • เลือดออกง่ายจากความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
     3.2 ตับวายเรื้อรัง (Decompensated Cirrhosis)

เกิดจากการติดเชื้อเรื้อรังที่ทำให้ตับอักเสบและเกิดพังผืดสะสม จนพัฒนาไปเป็นตับแข็งในระยะเสื่อมสมรรถภาพ ภาวะนี้ถือเป็นปลายทางของการทำงานตับที่ล้มเหลว โดยอาการที่พบ ได้แก่

  • ท้องมานจากการคั่งของน้ำในช่องท้อง
  • เส้นเลือดขอดโป่งพองในหลอดอาหาร ซึ่งเสี่ยงต่อการแตกและมีเลือดออกอย่างรุนแรง
  • ภาวะสมองเสื่อมจากตับ
  • ดีซ่านเรื้อรัง และเลือดออกง่ายผิดปกติ

ผู้ป่วยระยะนี้มักมีคุณภาพชีวิตแย่ลงอย่างมาก และมีอัตราการเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือการปลูกถ่ายตับ

การตรวจและวินิจฉัยโรคที่เหมาะสม เพื่อระบุเชื้อไวรัส

การตรวจและวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B, HBV) ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ เพราะโรคนี้มักไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงเป็นวิธีที่ทำให้รู้สถานะการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน

  • การซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น
  • การตรวจทางเลือดเพื่อหาแอนติเจนและ Antibody
  • การตรวจการทำงานของตับ
  • การตรวจเพิ่มเติมในผู้มีความเสี่ยงสูง

การตรวจรูปแบบดังกล่าวจะช่วยวินิจฉัย เพื่อทราบผลลัพธ์เชื้อไวรัสที่ชัดเจน เนื่องจาก Hepatitis B มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างของเชื้อไวรัส อื่น ๆ ทั้งรูปแบบการติดต่อ การแสดงอาการ ผลกระทบ และวิธีการรักษา

ตารางแสดงเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ 

ชนิด วิธีการติดต่อหลัก ความรุนแรง โอกาสเรื้อรัง วัคซีนป้องกัน การรักษาหลัก
A (HAV) อาหาร น้ำดื่มปนเปื้อน (fecal-oral route) อาการเฉียบพลัน มักหายเอง ไม่เรื้อรัง มีวัคซีน รักษาตามอาการ พักผ่อน
B (HBV) เลือด สารคัดหลั่ง เพศสัมพันธ์ แม่สู่ลูก อาจเฉียบพลัน → เรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับ เรื้อรังได้ โดยเฉพาะติดตั้งแต่เด็ก มีวัคซีน (มีประสิทธิภาพสูง) ยาต้านไวรัส (Tenofovir, Entecavir), Interferon
C (HCV) เลือดเป็นหลัก (เข็ม, ถ่ายเลือด) มักไม่แสดงอาการชัด → พัฒนาเรื้อรังสูง เรื้อรังได้สูง (~70–85%) ไม่มีวัคซีน ยาต้านไวรัสตรงเป้า (DAAs) รักษาหายได้เกือบ 100%
D (HDV) ติดต่อทางเลือด แต่จะเกิดเฉพาะในผู้ที่ติด HBV อยู่แล้ว ทำให้โรครุนแรงกว่าติด HBV เดี่ยว ๆ เรื้อรังได้หากมี HBV ไม่มีวัคซีนโดยตรง แต่ป้องกันได้ด้วยการฉีด HBV vaccine Pegylated Interferon (ผลการรักษาจำกัด)
E (HEV) อาหาร น้ำดื่มปนเปื้อน (คล้าย HAV) ส่วนใหญ่เฉียบพลัน หายเอง แต่ในหญิงตั้งครรภ์อาจรุนแรงถึงชีวิต ไม่เรื้อรัง (ยกเว้นบางรายที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง) ไม่มีวัคซีนใช้ทั่วไป (มีเฉพาะบางประเทศ) รักษาตามอาการ (บางรายใช้ Ribavirin)

แนวทางการป้องกันและรักษาสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B 

1.การป้องกันการสัมผัสเชื้อ

  • ไม่ใช้เข็มฉีดยา ของมีคม หรืออุปกรณ์ที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกับผู้อื่น
  • ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • บุคลากรทางการแพทย์ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน (ถุงมือ, หน้ากาก, แว่นป้องกันตา)
  • ตรวจคัดกรองเลือดและอวัยวะก่อนการถ่ายหรือปลูกถ่าย

2.การรักษาในระยะเฉียบพลัน

  • ผู้ป่วยส่วนใหญ่ หายเองได้ โดยระบบภูมิคุ้มกันกำจัดเชื้อภายใน 6 เดือน
  • เน้นการพักผ่อน งดแอลกอฮอล์ และติดตามการทำงานของตับ
  • หากรุนแรงจนเกิด ตับวายเฉียบพลัน อาจต้องใช้ยาต้านไวรัสหรือปลูกถ่ายตับ

3.การรักษาในระยะเรื้อรัง

  • รักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน (Oral Antivirals) เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ  ซึ่งเป็นรูปแบบการรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อเรื้อรังและตับกำลังอักเสบ ผู้ที่มีตับแข็ง ผู้ที่เสี่ยงสูงต่อมะเร็งตับ หญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณไวรัสสูงมาก ผู้ที่มีโรคตับอื่น ๆ
  • รักษาด้วยยาฉีดกลุ่มอินเตอร์เฟอรอน (Pegylated Interferon: Peg-IFN) ซึ่งแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาตามความเหมาะสม มักใช้ในผู้ป่วยอายุน้อยที่โรคยังไม่รุนแรง และต้องการการรักษาแบบมีระยะเวลา (เช่น 6 –12 เดือน) แทนที่จะต้องกินยาตลอดชีวิต

4.การติดตามและเฝ้าระวัง

  • ตรวจเลือดดูค่าเอนไซม์ตับ (ALT, AST) ปริมาณไวรัส (HBV DNA) และตัวบ่งชี้อื่น ๆ ทุก 3 – 6 เดือน
  • ผู้ที่มีตับแข็งหรือมีความเสี่ยงสูง ควรตรวจอัลตราซาวด์ตับทุก 6 เดือน ร่วมกับการตรวจค่า AFP เพื่อเฝ้าระวังมะเร็งตับ
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ตับเสื่อมเร็ว เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาที่เป็นพิษต่อตับ และควบคุมโรคร่วม (เบาหวาน ไขมันพอกตับ)

consult to doctor

ใครบ้างคือกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

หลายคนอาจคิดว่าไวรัสตับอักเสบ บี เป็นโรคที่อยู่ไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เชื้อนี้สามารถแพร่สู่ร่างกายได้จากพฤติกรรมและสถานการณ์ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว แม้โรคนี้จะป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง แต่หากคุณยังไม่เคยตรวจหรือฉีดวัคซีน ควรสำรวจว่าตนเองเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ เพราะการรู้เท่าทันและป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ คือก้าวสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงในอนาคต

1.ทารกแรกเกิดจากมารดาที่เป็นพาหะ

การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกถือเป็นสาเหตุการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุดในเอเชียและแอฟริกา เชื้อสามารถติดต่อได้ขณะคลอดเมื่อทารกสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของมารดา หากไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกภายใน 24 ชั่วโมง ร่วมกับ HBIG (ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป) ทารกมีโอกาสติดเชื้อสูงถึง 90% และส่วนใหญ่จะพัฒนาเป็นการติดเชื้อเรื้อรังตั้งแต่วัยเด็ก

2.บุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่สัมผัสเลือดบ่อย

กลุ่มนี้เสี่ยงจากอุบัติเหตุ เช่น เข็มตำ เลือดกระเด็นเข้าตา หรือสัมผัสบาดแผล แม้จะมีมาตรการป้องกัน แต่เหตุการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นได้เป็นประจำในโรงพยาบาลและห้องแล็บ ดังนั้น การฉีดวัคซีนครบชุดจึงเป็นการป้องกันที่จำเป็น เพื่อปกป้องบุคลากรที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยและตัวอย่างเลือด

3.ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์

เชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถพบได้ในน้ำอสุจิและสารคัดหลั่งของช่องคลอด ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย โดยเฉพาะกับผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีแผลถลอกเล็ก ๆ ที่เยื่อบุ เพิ่มโอกาสการติดเชื้อสูงขึ้น

4.ผู้ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น

การใช้เข็มซ้ำหรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อ เช่น ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเป็นช่องทางการแพร่เชื้อที่รุนแรง เนื่องจากเชื้อ HBV มีความทนทาน สามารถอยู่ในเลือดแห้ง ๆ บนเข็มหรืออุปกรณ์ได้นานหลายวัน นอกจากนี้ รวมถึงการสักหรือเจาะร่างกายในร้านที่ไม่ได้มาตรฐานก็สร้างความเสี่ยงเช่นกัน

5.ผู้ที่ต้องได้รับเลือดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะ

แม้ปัจจุบันการคัดกรองเลือดและอวัยวะปลูกถ่ายจะเข้มงวดมาก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเล็กน้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่การตรวจคัดกรองยังไม่ครอบคลุม 100%

6.สมาชิกในครอบครัวหรือผู้อาศัยร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ

การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกนหรือแปรงสีฟัน อาจทำให้เชื้อเข้าสู่บาดแผลเล็ก ๆ ได้ รวมถึงการสัมผัสเลือดโดยตรงจากแผลหรืออุบัติเหตุเล็กน้อย แม้การอยู่ร่วมกันหรือการกินข้าวร่วมโต๊ะจะไม่ทำให้ติดเชื้อ แต่หากอยู่ในบ้านเดียวกับผู้ติดเชื้อ ควรตรวจเลือดและฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ปลอดภัย

ทางเลือกวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ B กับผู้เชี่ยวชาญ Medical Line Lab

ไวรัสตับอักเสบ B เป็นโรคติดต่อที่มีผลกระทบสำคัญต่อสุขภาพของประชากรโลก เนื่องจากเป็นเชื้อที่สามารถก่อให้เกิดการอักเสบของตับทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจหายได้เองและมีภูมิคุ้มกันถาวร แต่หากเชื้อคงอยู่เกิน 6 เดือน จะถือว่าเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ได้แก่ ตับแข็ง มะเร็งตับ และตับวาย

แม้โรคนี้จะมีความรุนแรง แต่ก็สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยวัคซีน ซึ่งองค์การอนามัยโลกยืนยันว่ามีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยด้วยการป้องกันเพิ่มเติม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การไม่ใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น และการคัดกรองเลือดก่อนการถ่าย ก็มีบทบาทสำคัญในการลดการแพร่เชื้อ

ในด้านการรักษาและป้องกันกับ Medical Line Lab นั้นผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยที่เหมาะสมและทางเลือกการฉีดวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อถึง 95% หากฉีดครบ 3 เข็ม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาวนานตลอดชีวิต ติดต่อ Medical Line Lab เพื่อช่วยให้คุณรู้สถานะการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้อย่างแม่นยำและทันเวลา ไม่ว่าจะเพื่อการป้องกัน วินิจฉัย หรือการเฝ้าระวังโรค เพื่อให้คุณและครอบครัวมั่นใจได้ในทุกช่วงของสุขภาพ

FAQ 

1.ไวรัสตับอักเสบ B คืออะไร

เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบ อาจเป็นเพียงชั่วคราว (เฉียบพลัน) หรือกลายเป็นเรื้อรังและทำให้ตับแข็งหรือมะเร็งตับได้

2.สาเหตุที่ทำให้เป็นไวรัสตับอับเสบ B 

เกิดจากการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น การใช้เข็มร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน หรือการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

3.อาการเบื้องต้นและการสังเกต เมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบ B 

บางรายไม่มีอาการ แต่ถ้ามีอาจพบว่าอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปัสสาวะสีเข้ม หรือตาเหลืองตัวเหลือง

4.เมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบ B ต้องทำอย่างไร 

ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดยืนยัน ระหว่างนี้ควรงดแอลกอฮอล์ พักผ่อน และไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

5.ไวรัสตับอักเสบ B หายได้หรือไม่ ด้วยตนเองหรือทางการแพทย์

  • ระยะเฉียบพลัน: ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่หายเองได้และมีภูมิคุ้มกันถาวร
  • ระยะเรื้อรัง: ไม่หายเอง แต่รักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ

 

Scroll to Top