การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD
STD ย่อมาจาก Sexually transmitted diseases หมายถึงโรคที่สามารถติดต่อกันได้จากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลได้ทางการมีเพศสัมพันธ์ การตรวจโรคในกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญมาก ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยง เนื่องจากโรคกลุ่มนี้หลายโรค ใช้เวลานานกว่าจะแสดงอาการ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจตรวจพบได้บ่อย คือ โรคติดเชื้อเอชไอวี, หนองใน, โรคหนองในเทียม, ซิฟิลิส, เริม, มะเร็งปากมดลูก, ตับอักเสบชนิดบี และตับอักเสบชนิดซี
กลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจ STD คือ ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์และมีปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพทางเพศ เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย, มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน, คู่นอนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, ถูกข่มขืน, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ควรเข้ารับการตรวจ STD อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามที่คุณหมอกำหนด การเข้ารับการตรวจและรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกๆของการติดเชื้อจะช่วยให้โอกาสรักษาให้หายขาดเพิ่มมากขึ้น ลดการเกิดอาการแสดงของโรคและการเป็นโรคติดเชื้อแบบเรื้อรัง

รายการตรวจ STD มีอะไรบ้าง
สำหรับโปรแกรมตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของเมดิคอลไลน์ แล็บ มีรายการตรวจดังนี้
ตรวจร่างกายโดยแพทย์ (Physical Examination) : แพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วยของผู้รับการตรวจและบุคคลอื่นในครอบครัว ประวัติอาการต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการใช้ยา รวมถึงพฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ ร่วมกับการตรวจเบื้องต้น เช่น การตรวจวัดความดันโลหิต วัดชีพจร วัดน้ำหนักและส่วนสูง ตรวจหาดัชนีมวลกาย ประกอบกับการตรวจร่างกายเบื้องต้นโดยแพทย์ ในกรณีที่อาการเริ่มแสดงออกมาให้เห็นแล้ว การตรวจร่างกายก็สามารถใช้ประกอบการวินิจฉัยได้ เช่น เริม หูด ซิฟิลิส เป็นต้น
ตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg) : ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดต่อที่สามารถติดต่อได้ผ่านการรับเลือด, การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกน, กรรไกรตัดเล็บ, แปรงสีฟัน, ผ่านทางสารคัดหลั่งทางการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือบางคนอาจจะสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านทางน้ำลายหากเชื้อมีปริมาณมาก
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ทำได้โดยการตรวจเลือด เพื่อหาชิ้นส่วนของไวรัส หรือ HBsAg การรายงานผลเป็นลบ (Negative) หรือ บวก (Positive) หากพบว่าได้ผลบวก แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเอนไซม์ตับ (AST, ALT) เพิ่มเติม เพื่อววางแผนการรักษา
ตรวจภูมิต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี (Anti-HCV) : โรคไวรัสตับอักเสบ ซี สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจามหรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกันเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเข้าไปในร่างกายจะแบ่งตัวและอาศัยอยู่ในตับ ในระยะแรกจะทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมักมีอาการไม่มาก ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่าเป็นโรคตับอักเสบ ผู้ที่ได้รับเชื้อประมาณ 8% จะมีการติดเชื้อเรื้อรัง และตามมาด้วยตับอักเสบแบบเรื้อรังแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ค่อยมีอาการชัดเจน ผ่านไปประมาณ 10-30 ปีจึงเข้าสู่ระยะตับแข็ง และอีกสิบปีต่อมาจึงถึงระยะท้ายของโรคตับแข็ง เมื่อมีโรคตับแข็งเกิดขึ้นจะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ เนื่องจากกระบวนการรักษาใช้เวลานาน ประมาณ 6 เดือน - 1 ปี การตรวจให้ทราบตั้งแต่ระยะแรกที่ติดเชื้อ ทำให้สามารถเริ่มรับการรักษาได้ทันที แม้ว่าจะยังไม่มีอาการ ช่วยเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากโรคนี้
ตรวจคัดกรองภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Anti-HIV) : โรคเอดส์ (AIDS) หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง คือ ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 หรือ T-cells ในระบบภูมิคุ้มกันร่างกายถูกทำลาย ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายลดต่ำ ร่างกายอ่อนแอ นำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนหรือโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค, โรคปอดอักเสบ PJP, หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, รวมถึงมะเร็งบางชนิด การติดเชื้อเอชไอวีสามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้ผ่านการรับเลือด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มร่วมกันกับผู้อื่นและจากแม่ที่ตั้งครรภ์สู่ลูก การตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี ช่วยให้ผู้ติดเชื้อทราบว่าต้องเข้ารับการรักษา ป้องกันตัวเองจากการรับเชื้อเพิ่ม ดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง และระมัดระวังตัวเองจากการแพร่เชื้อไปสู่คนที่รักโดยไม่ตั้งใจ
การตรวจคัดกรองเอชไอวีเป็นการตรวจภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นจำเพาะต่อตัวเชื้อไวรัส การรายงานผลรายงานเป็นผลลบ (Negative / Non-reactive) หรือ บวก (Positive / Reactive) หากได้รับผลเลือดเป็นลบและมีเหตุควรสงสัยว่าติดเชื้อ ควรจะตรวจซ้ำอีก 3-6 เดือนต่อมา แต่ถ้าได้รับผลบวก ควรรับการตรวจยืนยันโดยวิธีการตรวจยืนยันที่มีความจำเพาะ และเข้ารับการปรึกษากับแพทย์เพื่อวางแผนการรักษา โดยไม่ต้องรอให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะ AIDs ได้เลย
ปัจจุบัน, การรักษา HIV มีความก้าวหน้า สามารถวินิจฉัยโรคได้เร็ว มียาต้านไวรัสประสิทธิภาพสูงที่ให้ผลดีในการรักษา ช่วยเพิ่มปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น และช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้โดยทั่วไป การรักษาผู้ป่วยเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถชะลอการดำเนินโรคได้ แต่ยังไม่มีหนทางรักษาให้หายขาด ไม่มีวัคซีนป้องกัน ยาต้านไวรัสสามารถลดอัตราการตายและภาวะทุพพลภาพได้ดี แต่ยาเหล่านี้ยังมีราคาแพง

ตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส (VDRL) : โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดเกลียวชื่อ ”ทรีโพนีมา พัลลิดุม” (Treponema Pallidum) อาการของโรคซิฟิลิสแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 ระยะเป็นแผล (Primary syphilis): หลังติดเชื้อประมาณ 10-90 วัน ผู้ป่วยจะมีตุ่มเล็กๆ ขึ้นบริเวณที่รับเชื้อ แผลจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และแตกออกกลายเป็นแผลกว้างขึ้น
- ระยะที่ 2 หรือ ระยะเข้าข้อออกดอก (Secondary syphilis): ประมาณ 4-8 สัปดาห์หลังจากระยะแรก ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นทั้งตัวและที่ฝ่ามือฝ่าเท้า
- ระยะที่ 3 หรือ ระยะภาวะแทรกซ้อน: เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและไปจับตามอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคตามอวัยวะและทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว
โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นอันตรายแก่ระบบต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด, ระบบประสาท นอกจากนี้ มารดาที่เป็นโรคซิฟิลิสสามารถถ่ายทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้ ทารกที่ติดเชื้อจากมารดาจะเป็นโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) ซึ่งมีอาการรุนแรง จนถึงเสียชีวิตได้ ซิฟิลิสแต่กำเนิดยังส่งผลต่อระบบต่างๆของร่างกาย อาจจะมีอาการหูหนวก ตาบอด มีความผิดปกติของระบบประสาท รวมทั้งอวัยวะอื่นๆได้ หากตรวจพบการติดเชื้อแต่แรก และให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพนนิซิลลิน จะช่วยลดความเสี่ยงที่เด็กจะเกิดความผิดปกติต่างๆได้
ตรวจภูมิต่อเชื้อโรคเริมเพื่อดูการติดเชื้อ (Herpes Simplex Virus type 1&2 Ab IgM) : โรคเริม หรือ Herpes Simplex คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ผ่านทางผิวหนัง หรือการสัมผัสกับเชื้อไวรัส HSV-1 ซึ่งก่อให้เกิดโรคเริมที่ริมฝีปาก หรือ HSV-2 ซึ่งก่อให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคันยุบยิบ มีตุ่มน้ำใส พุพอง และมีไข้ ในบางรายอาจจะไม่มีอาการแสดง แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่บุคคลใกล้ชิดได้
เริมแบ่งได้ 2 ชนิดตามลักษณะของการติดเชื้อโรคเริมบนร่างกาย โดยเริมทั้ง 2 ชนิดสามารถติดต่อ และแสดงอาการที่บริเวณส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ เริมทั้ง 2 ชนิด ได้แก่
- Herpes simplex virus type I: HSV-1 ที่ทำให้เกิดแผลหรือตุ่มน้ำพองที่บริเวณปาก ใบหน้า โพรงจมูก หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของผิวหนังเหนือสะดือ เริมที่ปาก เกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV-1 เช่น น้ำลาย ที่ทำให้เกิดตุ่มน้ำใส แผลพุพอง ผื่นบวมแดง และบาดแผลแสบร้อน
- Herpes simplex virus type II: HSV-2 เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV-2 ที่ทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง แผลพุพอง และอาการเจ็บปวดที่บริเวณอวัยวะเพศชาย หรือที่บริเวณอวัยวะเพศหญิง

โรคเริมเป็นโรคที่ไม่หายขาด ผู้ที่เป็นและหายแล้วอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ภายใน 7 วัน หลังจากการเป็นครั้งแรก โดยหากเชื้อไวรัส HSV ที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณปมประสาทได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซ้ำ เชื้อไวรัสจะเคลื่อนตัวไปตามแนวเส้นประสาทจนถึงปลายประสาทและแสดงอาการออกมา โดยความรุนแรงของอาการจะน้อยกว่าและหายเร็วกว่าครั้งแรกทั้งจำนวนของตุ่มน้ำพองใส อาการคัน หรืออาการแสบร้อน
ปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เป็นโรคเริมซ้ำ ได้แก่
- ภูมิคุ้มกันร่างกายลดต่ำลง
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- การติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ซ้ำ หรือมีไข้สูง
- การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ระหว่างมีประจำเดือน
- การผ่าตัดที่กระทบต่อเส้นประสาท
- อากาศร้อน การอยู่ท่ามกลางแสงแดด
- การขาดสารอาหาร
- ความเครียด
การตรวจวินิจฉัยโรคเริม : แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อดูลักษณะแผล ตุ่มน้ำ และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจ HSV IgM จะช่วยในการวินิจฉัยการติดเชื้อ HSV ในระยะเริ่มแรกหรือระยะเฉียบพลัน3. หากผลการตรวจเป็นบวก แสดงว่าผู้ป่วยกำลังติดเชื้ออยู่3. การตรวจนี้สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ และช่วยในการตรวจสอบการติดเชื้อในระยะเริ่มต้น
สำหรับโรคติดเชื้อหรือการตรวจอื่นๆ หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอคำปรึกษา สามารถติดต่อได้ที่ สหคลินิกเมดิคอลไลน์แล็บ