โรคลมพิษ คืออะไร ผื่นแดงบนผิวหนัง สาเหตุ อาการ พร้อมแนวทางการป้องกันและวิธีรักษา

โรคลมพิษ คืออะไร ผื่นแดงบนผิวหนัง สาเหตุ อาการ พร้อมแนวทางการป้องกันและวิธีรักษา

หากคุณเคยสังเกตเห็นตุ่มนูนแดงขึ้นตามร่างกายที่มาพร้อมกับอาการคัน แล้วหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง นี่อาจเป็นอาการของ “โรคลมพิษ” โรคผิวหนังที่พบบ่อยที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะเด็กและผู้ใหญ่ช่วงวัย 20-40 ปี แม้โรคลมพิษมักหายเองได้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่บางครั้งอาจเป็นอยู่นานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ในบางรายอาจมีอาการเรื้อรังเป็นปี และถึงแม้โรคลมพิษจะเป็นโรคไม่ติดต่อ แต่สามารถสร้างความรำคาญและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ การเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และแนวทางการป้องกันและรักษาโรคลมพิษจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการรับมืออย่างเหมาะสม

เด็กเกิดอาการลมพิษ

โรคลมพิษ (Urticaria) คืออะไร

โรคลมพิษ (Urticaria) คือ โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดผื่นบวม แดง คัน ทั่วไปแล้วจะมีลักษณะเป็นตุ่มบวมแดง มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน ตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเมตร ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันมาก บางครั้งอาจมีอาการบวมร่วมด้วย แต่มักหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง แต่บางครั้งอาจเป็นอยู่นานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ในบางรายอาจมีอาการเรื้อรังเป็นปี

สาเหตุของโรคลมพิษ

โรคลมพิษเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แบ่งออกเป็นปัจจัยภายในและภายนอกที่กระตุ้นปฏิกิริยาของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายปล่อยสารฮีสตามีน ซึ่งเป็นสารที่ตอบสนองต่อภูมิแพ้ออกมา ทำให้เกิดอาการผื่นคัน ในบางกรณี สาเหตุของโรคลมพิษอาจไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน ซึ่งเรียกว่าโรคลมพิษที่ไม่ทราบสาเหตุ สาเหตุของโรคลมพิษที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • การแพ้อาหาร เช่น ถั่ว ไข่ นม อาหารทะเล สารกันบูดที่ผสมอยู่ในอาหาร
  • การแพ้ยา เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน
  • การติดเชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย
  • แมลงกัดต่อย เช่น ผึ้ง ยุง แมลงวัน
  • การสัมผัสกับสารเคมี เช่น น้ำหอม สบู่ ผงซักฟอก
  • สิ่งแวดล้อม เช่น เหงื่อ ฝุ่นละออง สารพิษ ละอองเกสร ขนสัตว์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลัน แพ้ความร้อน แพ้ความเย็น
  • การตอบสนองต่อความเครียดทางจิตใจ ความวิตกกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ

ลมพิษขึ้นตามผิวหนัง

 

อาการของโรคลมพิษ

อาการของโรคลมพิษ ได้แก่ มีผื่นนูน แดง คันบริเวณผิวหนัง อาจมีอาการบวมร่วมด้วย บางครั้งอาจมีลักษณะเป็นตุ่มหรือเป็นปื้นขนาดต่าง ๆ สามารถขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงใบหน้า โดยผื่นลมพิษมักจะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันและสามารถหายไปเองภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง และจะไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้บนผิว ในกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจมีอาการหน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน หรือมีอาการบวมที่ปากหรือคอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการหายใจและส่งผลต่อชีวิตได้

ใครบ้างที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคลมพิษ

กลุ่มเสี่ยงของโรคลมพิษมีดังนี้

  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้หรือมีอาการแพ้อาหาร ยา หรือสารเคมี
  • ผู้ที่มีโรคภูมิแพ้เรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ผิวหนัง
  • ผู้ที่มีความเครียดสูง นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น สารเคมีหรือสิ่งแวดล้อม
  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคภูมิต้านทานตัวเอง

วิธีป้องกันโรคลมพิษ

การป้องกันโรคลมพิษสามารถทำได้โดยการดูแลตนเองดังนี้

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ และเลี่ยงไม่รับประทานหรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ
  • จัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิหรือการออกกำลังกาย เพื่อช่วยลดความเสี่ยง
  • รักษาสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจสอบยาและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ว่าปราศจากสารก่อภูมิแพ้
  • ดูแลสุขอนามัย รักษาความสะอาดของผิวหนังและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีหรือสิ่งที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • ดูแลผิว ไม่ปล่อยให้ผิวแห้งตึงจนเกินไป หมั่นทาครีมหรือโลชั่นที่ปราศจากน้ำหอม เพื่อลดความไวของผิวหนัง ไม่แกะเกาผิวหนัง ขีดข่วน เพราะอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบได้

แพทย์กำลังวินิจฉัยอาการผู้ป่วย

แนวทางการรักษาโรคลมพิษ

แนวทางการรักษาโรคลมพิษขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุที่กระตุ้นการเกิดโรคดังนี้

  • การใช้ยา ได้แก่ ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นยาหลักที่ใช้ในการลดอาการคันและผื่นแดง โดยช่วยบรรเทาปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดลมพิษ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือเรื้อรัง เพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น คอบวมหรือปากบวม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการหายใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่ การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น อาหารหรือสารเคมีที่แพ้ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น การจัดการความเครียดผ่านการทำสมาธิ การออกกำลังกาย รวมถึงการดูแลผิวหนังด้วยการใช้โลชั่นหรือครีมที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อบรรเทาความคันและปกป้องผิวหนังจากการระคายเคือง

ยาที่ใช้ในการรักษาโรคลมพิษ

ยาที่ใช้ในการรักษาโรคลมพิษมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและปัจจัยกระตุ้นที่เกี่ยวข้อง  การเลือกใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้ได้การรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

  • ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นยาหลักที่ใช้ในการบรรเทาอาการของโรคลมพิษ เช่น คันและผื่นแดง มีหลายประเภท เช่น
    • ยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วงนอน ใช้สำหรับการรักษาอาการทั่วไป เช่น เซทิริซีน (Cetirizine) ลอราทาดีน (Loratadine) และเฟนโทลาไมน์ (Fexofenadine)
    • ยาแก้แพ้ชนิดง่วงนอน ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อยาอื่น เช่น คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) และไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine)
  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือเรื้อรัง เพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการ โดยอาจใช้ในรูปแบบของยาเม็ดหรือครีม เช่น
    • ยาเม็ด เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisone)
    • ครีมทาผิว เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) หรือเบทาเมทาโซน (Betamethasone)
  • ยาอื่น ๆ ใช้กรณีที่อาการไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาหลัก ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาต้านภูมิแพ้ชนิดอื่น (Leukotriene Receptor Antagonists) เช่น โมอนตาลูคาสต์ (Montelukast) เป็นต้น

แนวทางการดูแลร่างกายของผู้ป่วยโรคลมพิษ

การดูแลร่างกายของผู้ป่วยโรคลมพิษควรเริ่มตั้งแต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น อาหาร ยา หรือสารเคมีที่อาจทำให้เกิดอาการ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังที่อ่อนโยนและหลีกเลี่ยงการเกาเพื่อป้องกันการระคายเคือง  พกยาต้านฮิสตามีนติดตัวไว้ในกรณีอาการกำเริบจะสามารถใช้ได้ทันที ทาโลชั่นหรือครีมที่มีส่วนผสมของเมนทอล อย่างเช่น คาลาไมน์ เพื่อลดอาการคัน รวมไปถึงการดูแลสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำเพื่อประเมินอาการและการรักษาอย่างถูกวิธีล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมอาการและบรรเทาความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Ref:

https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/urticaria

https://www.phyathai.com/th/article/3840-โรค_ลมพิษ_สาเหตุ

Scroll to Top